เปิดตำนานความเชื่อบิ๊กฟุตหรือที่เรียกกันว่าไอ้ตีนโต
โดยอันดับแรกเรามาเริ่มทำความรู้จักบิ๊กฟุตกันก่อนเลยบิ๊กฟุต หรือแซสแควตช์ที่แปลว่า “ไอ้ตีนโต” นั่นเอง
บิ๊กฟุตนั้นว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคน แต่มีขนที่ดกดำกว่ามาก โดยบิ๊กฟุตนั้นจะพบในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งชื่อเรียกของมันนั้นมาจากรอยเท้าที่มีลักษณะคล้ายคนแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก
โดยส่วนใหญ่บรรยายว่ามันมีความสูงถึง 8 หรือ 9 ฟุต ซึ่งอาจจะมีน้ำหนักที่มากถึง 800 ปอนด์กันเลยทีเดียว ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของมันนั้นมีขนดกปกคลุมไปทั่วตัวสีเข้ม มีแขนที่ยาว ไร้คอ และมีใบหน้าเหมือนคน อีกทั้งมันยังมีสายตาแหลมคม และมีพละกำลังที่มหาศาลว่ากันว่ามันสามารถทุ่มก้อนหินขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลไปไกลได้อย่างสบาย
• การพบเห็นและความเชื่อ •
1. บิ๊กฟุตเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2354 ในประเทศแคนาดา โดยเดวิด ทอมป์สัน นักสำรวจ ในระหว่างที่เขาค้นหาทางน้ำระหว่างอ่าวฮัดสันไปจนถึงแม่น้ำโคลัมเบียนั้น เขาได้จดบันทึกในวันที่ 7 มกราคมเอาไว้ว่า
“เราเริ่มเดินทางของเราต่อในตอนบ่าย และเราได้เจอกับร่องรอยของสัตว์ขนาดใหญ่ เป็นรอยเท้าที่กดบนพื้นหิมะลึกลงไปมากถึง 6 นิ้ว โดยสามารถวัดรอยเท้าขนาดใหญ่ที่มีทั้งหมด 4 นิ้ว ได้ว่าแต่ละนิ้วยาว 4 นิ้ว มีรอยเล็บสั้น ๆ ส่วนปลายของเท้านั้นจมลงกว่านิ้วเท้า 3 นิ้ว ส่วนส้นของรอยเท้าไม่ชัดเจนนัก ความยาว 14 คูณ 8 นิ้ว ตามกว้าง อินเดียนแดงผู้ติดตามคิดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางอย่าง ส่วนทอมป์สันคิดว่าเป็นหมีกริซลีย์ตัวใหญ่ แต่ในส่วนปลายของเท้าที่ใหญ่นั้นมันไม่ใช่ของหมีเอาซะเลย”
2. เรื่องราวของบิ๊กฟุตที่โด่งดังเรื่องต่อมานั้นได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2467 โดยอัลเบิร์ต ออสแมน นักกิจกรรมชาวแคนาดา โดยในวัยหนุ่มนั้นเขาได้อ้างว่าขณะออกสำรวจป่าบริติชโคลัมเบียเพียงลำพังกว่าหนึ่งสัปดาห์ เขารู้สึกว่าถูกอะไรบางอย่างตามติดและรังควานอย่างมาอย่างน้อย 3–4 คืนติดต่อกันแล้ว ซึ่งทีแรกเขาคิดว่าเป็นเม่นหรือสัตว์อะไรบางอย่าง แต่เห็นชัดว่ามันไม่ใช่ จนกระทั่งคืนหนึ่งในขณะที่เขากำลังนอนหลับอยู่ เขาก็ได้ถูกบิ๊กฟุตตัวหนึ่งอุ้มตัวไปขณะที่นอนอยู่ในถุงนอนที่ภายในนั้นบรรจุเสบียงอาหารไว้รวมถึงปืนไรเฟิลอีกด้วย
โดยเขาประมาณว่าบิ๊กฟุตอุ้มเขาไว้นานถึง 3–4 ชั่วโมง จนกระทั่งมันปล่อยเขาลงในที่ ๆ มันอยู่ซึ่งเป็นหุบเขา จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมาในเวลาที่คาดว่าน่าจะเลย 04:00 น. มาเล็กน้อย ทว่าเขาได้พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในที่ ๆ มืดมาก ๆ ซึ่งรอบตัวของเขานั้นมีแต่เสียงเหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่เต็มไปหมด
จนกระทั่งถึงเช้าเขาจึงได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่รูปร่างคล้ายกับคนที่มีขนดกปกคลุมไปทั่วทั้งตัว เนื้อตัวล่อนจ้อน อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัว ซึ่งเขายังได้อ้างอีกว่าตัวที่อุ้มเขามานั้นเป็นบิ๊กฟุตตัวผู้ที่เป็นพ่อ โดยในครอบครัวของมันนั้นมีบิ๊กฟุตตัวเมียที่เป็นแม่ และบิ๊กฟุตขนาดเล็กที่เป็นลูก ๆ อีก 2 ตัว
ลักษณะทางกายภาพที่น่าสนใจของ BigFoot
Bigfoot มีอีกชื่อหนึ่งคือ “Sasquatch” หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่า “ไอ้ตีนโต” มันเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ปรากฏตัวขึ้นในป่าของทวีปอเมริกา มักพบเห็นประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และฝั่งแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ที่เคยพบเห็น Bigfoot อ้างว่า มันเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายมนุษย์ มีขนดกหนารุงรังทั่วร่างสีน้ำตาลเข้ม แดงเข้ม หรือดำ สูงประมาณ 1.8 – 2.7 เมตร มีหน้าผากขนาดใหญ่ คางต่ำหนา ศีรษะกลมคล้ายกับลิงกอริลล่า ข้อมูลของรอยเท้าที่อ้างว่าเป็นของ Bigfoot ที่ถูกพบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 60 เซนติเมตร มีห้านิ้วเท้าและมีกรงเล็บให้เห็น มีกลิ่นสาบตัวที่รุนแรงถึงขั้นฉุนจมูก เชื่อกันว่า Bigfoot เป็นสิ่งมีชีวิตที่ออกหากินกลางคืน สามารถกินได้ทุกอย่างทั้งพืช ผลไม้ และเนื้อ!!!
Bigfoot กับความเชื่อที่แพร่กระจายไปทั่วทวีปอเมริกา
เรื่องราวของ Bigfoot เริ่มต้นจากความเชื่อของชนเผ่าอินเดียนแดง ที่อาศัยอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้พบเห็น Bigfoot พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งของมนุษย์ป่า ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของชาวอเมริกัน ที่ได้พบเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ ในพื้นที่ใกล้เคียง
หมีกริซลี่
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชื่อของ Bigfoot เริ่มเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวอเมริกัน โดยเริ่มต้นจาก “หมีกริซลี่” ขนาดใหญ่ ที่มีน้ำหนักกว่า 900 กิโลกรัม ที่เข้ามารุกรานเขตปศุสัตว์และสังหารแกะที่ถูกเลี้ยงเอาไว้นานถึง 15 ปี หลังจากนั้นมันก็ถูกยิงเสียชีวิตไปในปี 1895 ,1890 และตัวสุดท้ายในปี 1902 ใกล้เมืองเพียร์ซ ซึ่งก่อนที่จะสิ้นฤทธิ์จากลูกปืน หมีเหล่านี้ ได้สังหารสัตว์เลี้ยงไปมากกว่า 1,000 ตัว หลังจากนั้น ชื่อของ Bigfoot จึงได้ถูกนิยมนำมาเรียกสัตว์ประหลาดขนยาวรุงรังปริศนาที่ปรากฏตัวให้เห็นทั่วอเมริกา
Bigfoot กับละครลิง!!!
Rick Dyer และ Matthew Whitton กับซากศพของไอ้ตีนโต
มีคนจำนวนมากที่พยายามติดตามถ่ายภาพ รวมไปถึงการจับกุม Bigfoot แบบตัวเป็นๆ และจบลงด้วยความล้มเหลว หรือสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสังคม โดยมีกรณีที่น่าสนใจของ “Rick Dyer และ Matthew Whitton” พวกเขาได้โพสต์วิดีโอลงใน YouTube อ้างว่าได้ยิง Bigfoot ตายทางตอนเหนือของจอร์เจีย พวกเขาได้นำศพของมันมาเก็บรักษาเอาไว้ พร้อมกับยินดีให้ตรวจสอบ DNA ของ Bigfoot เพื่อเป็นการยืนยันให้แน่ใจว่าเป็นของแท้แน่นอนอีกด้วย!
ความมั่นอกมั่นใจมั่นหน้าของทั้งสองหนุ่ม ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากบรรดาสื่อยักษ์ใหญ่ เช่น เป็น BBC, CNN, ABC News และ Fox News เป็นต้น นอกจากนี้พวกเขายังได้รับเงินรางวัลอีกกว่า 50,000 ดอลล่าห์ จากการที่เป็นผู้ค้นพบ Bigfoot ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อีกหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดความก็แตกว่าที่จริงศพของ Bigfoot ที่พวกเขาภูมิใจนักหนานั้น เป็นเรื่องแหกตา!! เพราะที่จริงแล้วมันเป็นเพียงตุ๊กตายักษ์ที่สวมชุดลิงกอริลล่า และ DNA ที่อ้างถึง เป็นหลักฐานที่ถูกปลอมแปลงขึ้น
Bigfoot กับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ลิงยักษ์โบราณ Gigantopithecus
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่จริงแล้ว Bigfoot เป็นเพียงข่าวลือที่เกิดขึ้นจากนำ “ความเชื่อพื้นบ้าน” มาผสมเข้ากับ “การหลอกลวง” มากกว่าที่มีสัตว์ประหลาดตนนี้อยู่จริง นอกจากนี้รายงานการพบเห็น Bigfoot ส่วนใหญ่ มักเกิดจากความเข้าใจผิดเมื่อเห็นสัตว์หลายชนิดในระยะไกล โดยเฉพาะ “หมีดำ”
ในปี 2007 องค์กร Bigfoot Field Researchers Organization ได้นำเสนอรูปถ่าย ที่อ้างว่าเป็น Bigfoot อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์โต้แย้งว่ามันเป็นเพียงรูปถ่ายของหมีที่เป็นโรคเรื้อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้มีการตั้งสมมุติฐานที่น่าสนใจว่าที่จริงแล้วบางที Bigfoot คือ “Gigantopithecus” ลิงยักษ์ดึกดำบรรพ์ที่พบในทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตามยังไม่เคยมีการค้นพบฟอสซิลของลิงยักษ์สายพันธุ์ดังกล่าวในทวีปอเมริกา ทำให้หลักฐานสนับสนุนความคิดนี้ค่อนข้างอ่อน และน้ำหนักมวลรวมของสัตว์ชนิดนี้มีมากเกินไปจนยากที่จะเดินสองเท้าได้เหมือนกับ Bigfoot นั่นเอง…
บทสรุปส่งท้าย : Bigfoot กับการพยายามตามหาความจริงในทวีปอเมริกา
เรื่องราวของ Bigfoot แม้จะยังคงเต็มไปด้วยความคลุมเครือ… แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงมีองค์กรค้นหา Bigfoot มากมาย ที่อุทิศเวลามากมายในการพยายามสืบสวนการพบเห็น Bigfoot ในทวีปอเมริกาอย่างจริงจัง โดยองค์กรที่เก่าแก่ที่สุด และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดมีชื่อว่า “BFRO” ที่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ Bigfoot กันแบบฟรีๆ ให้กับองค์กรหรือบุคคลที่มีความสนใจในเรื่องนี้ นอกจากนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 มหาวิทยาลัยรัฐนิวเม็กซิโก ยังได้มีจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับ Bigfoot ขึ้น ถึง 2 วัน นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวของ Bigfoot นั้น เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจจากชาวอเมริกันมากเพียงใด…