นอกจากการแต่งตัวให้ดูดีแล้ว เชื่อว่าหลายคนจะใช้น้ำหอมเพื่อให้กลิ่นหอมและดึงดูดความสนใจ ซึ่งการรับรู้กลิ่นหอมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่างเพศตรงข้าม การใช้น้ำหอมทำให้บุคคลรู้สึกดีและมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ไม่แปลกที่หญิงชายหลายคนจึงมีน้ำหอมหลากหลายชนิดในกระเป๋าหรือหน้าโต๊ะเครื่องสำอางของพวกเขา แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ขวดน้ำหอมที่เราใช้อยู่มีกำเนิดมายังไงบ้าง เพราะนอกจากที่จะเป็นของใช้ทั่วไปของเราตั้งแต่อดีต ขวดน้ำหอมยังเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและแม้กระทั่งคนตาย! แล้วทั้งหมดนี้มาจากไหน? เพื่อให้คุณได้รู้ว่าประวัติศาสตร์นอกกรอบมีอะไรน่าสนใจ เรามาดูกันเลย
น้ำหอมเป็นสิ่งที่มีอายุนับพันปี มีหลักฐานที่แสดงว่าการใช้น้ำหอมมีต้นกำเนิดตั้งแต่ยุคโบราณของชาวอียิปต์ เมโสโปเตเมีย และไซปรัส ก่อนที่น้ำหอมจะกลายเป็นวัตถุดิบหลักในอุตสาหกรรมแฟชั่น น้ำหอมเคยใช้เพื่อแสดงความเจริญรุ่งเรืองในหลายวัฒนธรรม และเฉพาะคนชั้นสูงที่เข้าถึงผลิตภัณฑ์น้ำหอมได้ เนื่องจากมีราคาแพงและคาดว่าหาซื้อได้ยาก
น่าสนใจที่ว่าผู้ผลิตน้ำหอมรายแรกในประวัติศาสตร์อาจเป็นนักเคมีหญิงชื่อ “ทัปปูตี” นี่เป็นเรื่องราวที่พบบนแผ่นดินเหนียวจากเมโสโปเตเมีย ในช่วงสมัยที่สองก่อนคริสต์ศักราช คำว่า “น้ำหอม” นั้นมาจากภาษาละติน “per” ซึ่งหมายถึง “ทั่วถึง” และ “fumus” ซึ่งหมายถึง “ควัน” นั่นหมายความว่ากลิ่นของน้ำหอมเกิดขึ้นหลังจากการเผาไหม้เครื่องหอม
ในยุคแรก น้ำหอมเป็นที่เรียกว่า “เครื่องหอม” และถูกสร้างขึ้นโดยชาวเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อน วัฒนธรรมโบราณใช้เรซินและไม้หลายชนิดในพิธีทางศาสนา จนเมื่อเครื่องหอมเข้ามาในอียิปต์ราว ๆ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (ช่วงเริ่มต้นยุคทองของอียิปต์) การใช้น้ำหอม
เวลานั้นมีตำนานหนึ่งของอียิปต์ที่เล่าถึง เทพเจ้าเนเฟอร์เทม ในสังคมชนชั้นสูงที่เชื่อว่าเทพองค์นี้ คือเทพเจ้าแห่งน้ำหอม เนื่องจากคำพรรณนามักกล่าวถึงเทพเจ้าเนเฟอร์อุ้มดอกบัว ซึ่งดอกบัวถือเป็นส่วนผสมหลักในน้ำหอมยุคโบราณ ชาวอียิปต์เริ่มทำน้ำหอมด้วยการกลั่นน้ำมันจากธรรมชาติ (พืชที่มีกลิ่นหอม) เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีกลิ่น สำหรับกลิ่นยอดนิยม ณ เวลานั้น คือ กลิ่นฟลอรัล วู้ดดี้ และฟรุ๊ตตี้
จักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่ของอียิปต์ พระราชินีคลีโอพัตราและพระราชินีฮัตเชปซุต จึงมักอาบน้ำด้วยน้ำหอมเพื่อให้ร่างกายมีกลิ่นหอม และนำพกติดตัวไปด้วย เวลานั้นน้ำหอมถูกบรรจุไว้ในแหวนและจี้ที่ประดับด้วยเพชรพลอย น้ำหอมจึงมีราคาแพงมากและหายาก
หลายปีต่อมา ชาวจีนโบราณ ชาวฮินดู ชาวอิสราเอล ชาวคาร์เธจอาหรับกรีก และโรมัน ก็เริ่มใช้น้ำหอมมากขึ้น ในศตวรรษที่ 15 ชาวอียิปต์ เริ่มประดิษฐ์ขวดแก้วเพื่อใส่น้ำหอม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการใช้เครื่องแก้วยุคต้น ๆ นักเคมีชาวเปอร์เซียและชาวอาหรับยังเริ่มสร้างและพัฒนาน้ำหอม น้ำหอมจึงกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ธุรกิจน้ำหอมเริ่มประสบความสำเร็จเรื่อยมา
ในช่วงศตวรรษที่ 16 น้ำหอมกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในฝรั่งเศส เพราะสุขอนามัยในสมัยนั้นค่อนข้างสำคัญ น้ำหอมจึงเริ่มถูกใช้เพื่อกลบกลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์, ใช้เพื่อเป็นเครื่องป้องกันกลิ่นที่ฟุ้งกระจาย (กลิ่นเหม็นของผู้อื่น) และใช้เป็นเกราะป้องกันโรค ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำหอมช่วยลดโรคที่แพร่กระจายในอากาศได้
อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ทำให้การใช้น้ำหอมลดน้อยลง ยกเว้นชาวมุสลิมที่ยังคงรักษาประเพณีของการใช้น้ำหอมอยู่ เวลานี้น้ำหอมยังช่วยกระตุ้นการค้าและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้าระหว่างประเทศ
และด้วยการมาถึงของ eau de Cologne ในศตวรรษที่ 18 อุตสาหกรรมน้ำหอมเติบโตอีกครั้ง น้ำหอมถูกนำไปผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรม ทำให้ผู้คนได้ค้นพบความโรแมนติกจากน้ำหอม และเริ่มใช้น้ำหอมในการยั่วยวนและเตรียมการสำหรับความรัก การอาบน้ำด้วยน้ำหอมจึงเป็นที่นิยม ทั้งยังถูกใช้ในยาพอก ยาสวนทวาร ไวน์และหยดลงบนก้อนน้ำตาล
การใช้น้ำหอมยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ในอารยธรรมสมัยต่อ ๆ มาในคาบสมุทรทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ในอารยธรรมกรีกโบราณ มีหลักฐานทางโบราณคดีคือ ภาพเขียนบนภาชนะดินเผา แสดงถึงรูปนักกีฬาใช้น้ำมันที่มีกลิ่นหอมทาก่อนลงทำการแข่งขัน ในอาณาจักรโรมัน การใช้น้ำหอมมักใช้เป็นอุปกรณ์หนึ่งในการอาบน้ำ โดยเมื่อชาวมุสลิมคิดค้นวิธีการผลิตน้ำหอม เป็นวิธีการกลั่นจากดอกไม้ ซึ่งทำให้สามารถผลิตน้ำหอมในปริมาณมากขึ้นได้ในยุคกลาง และน้ำหอมเป็นที่รู้จักของชาวยุโรป เมื่อแคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) เดินทางจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เพื่อแต่งงานกับเจ้าชายแห่งประเทศฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 การใช้น้ำหอมก็เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ก่อนจะเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เมื่อนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจากสารเคมีจนได้กลิ่นต่าง ๆ มากมายหลายพันกลิ่น ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้สำเร็จ
การใช้น้ำหอมยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ในอารยธรรมสมัยต่อ ๆ มาในคาบสมุทรทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ในอารยธรรมกรีกโบราณ มีหลักฐานทางโบราณคดีคือ ภาพเขียนบนภาชนะดินเผา แสดงถึงรูปนักกีฬาใช้น้ำมันที่มีกลิ่นหอมทาก่อนลงทำการแข่งขัน ในอาณาจักรโรมัน การใช้น้ำหอมมักใช้เป็นอุปกรณ์หนึ่งในการอาบน้ำ โดยเมื่อชาวมุสลิมคิดค้นวิธีการผลิตน้ำหอม เป็นวิธีการกลั่นจากดอกไม้ ซึ่งทำให้สามารถผลิตน้ำหอมในปริมาณมากขึ้นได้ในยุคกลาง และน้ำหอมเป็นที่รู้จักของชาวยุโรป เมื่อแคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) เดินทางจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เพื่อแต่งงานกับเจ้าชายแห่งประเทศฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 การใช้น้ำหอมก็เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ก่อนจะเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เมื่อนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจากสารเคมีจนได้กลิ่นต่าง ๆ มากมายหลายพันกลิ่น ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้สำเร็จ
ในปัจจุบันน้ำหอมมีบทบาทที่สำคัญในวงการแฟชั่นและการตลาด เดี๋ยวนี้ผู้ผลิตน้ำหอมกลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในหลายประเทศ ในศตวรรษที่ 20 การใช้กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์สินค้ากลายเป็นทั่วไป ไม่เพียงแต่ในเสื้อผ้าแต่อย่างใด และมีการนำกลิ่นมาเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดสินค้า แนวคิดนี้ยังถึงชีวิตประจำวันของบุคคลสาธารณะและบุคคลดัง ซึ่งเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเองจากไลฟ์สไตล์และขายน้ำหอมใต้ชื่อตัวเอง
ในอังกฤษ, การใช้น้ำหอมกลายเป็นสิ่งที่ทั่วไปและมีขนาดใหญ่ เช่นในสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และควีนอลิซาเบธที่ 1 การใช้น้ำหอมเป็นสิ่งที่ขุนนางและชนชั้นสูงต้องทำ เขาใช้น้ำหอมไม่เพียงเพื่อสร้างกลิ่นหอมในตัว แต่ยังเป็นเครื่องแสดงถึงสถานะและความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ในสถานที่สาธารณะและสถานที่สำคัญ เช่นเฟอร์นิเจอร์ ถุงมือ และเสื้อผ้า น้ำหอมยังถูกใช้เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ เพราะควีนอลิซาเบธที่ 1 ไม่ทนกลิ่นเหม็นเลย
ในปัจจุบัน น้ำหอมได้กลายเป็นสิ่งที่ใช้แพร่หลายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรวยหรือคนทั่วไป มีผู้คนจำนวนมากที่ชื่นชอบและใช้น้ำหอมเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว น้ำหอมสามารถสื่อถึงเอกลักษณ์และบุคคลิกของบุคคลได้อย่างชัดเจน ดังนั้นการใช้น้ำหอมได้เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ใช้แสดงถึงตัวตนในวันนี้