พูดถึงเรื่องความแค้นความโกรธ ก็ไม่พ้นถึงเรื่องของการแก้แค้น การแก้แค้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติตั้งแต่แรกเริ่ม การแก้แค้นด้วยการสาปแช่ง นำความมุ่งร้าย ความเกลียดชังไปให้แก่คนที่เราต้องการให้เราเจอกันความโชคร้าย
9. ตุ๊กตาวูดู (Voodoo Dolls)
การสาปแช่งด้วยตุ๊กตาวูดูเป็นหนึ่งในหลายวิธีที่ใช้ในเค้าโครงของเวทมนตร์หรือศาสตร์ผสมผสาน เหตุผลที่คนจะใช้วิธีนี้อาจแตกต่างกันไป อาจเป็นเพื่อให้ความสงสัยหรือขู่คุกคามผู้อื่น หรืออาจเป็นเรื่องที่นำมาใช้ในงานพิธีศาสนาหรือเครื่องหมายทางวัฒนธรรมท้องถิ่นของบางกลุ่มคน
อย่างไรก็ตาม ฉันต้องการแนะนำให้ระมัดระวังเมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเวทมนตร์หรือศาสตร์ผสมผสาน เนื่องจากวิธีการเช่นนี้อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดและเกิดความไม่พึงประสงค์ต่อผู้ที่เข้าร่วมหรือถูกเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น การใช้วิธีนี้อาจละเมิดค่านิยมและจรรยาบรรณของผู้อื่นได้ ดังนั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะลงมือใช้วิธีการทางเวทมนตร์ใดๆ และควรเคารพความเห็นของผู้อื่นและความเป็นมาของวัฒนธรรมต่างๆ อย่างสุจริตและรอบคอบ
ตุ๊กตาวูดู (Voodoo Doll) เป็นวัตถุที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมและศาสนาวูดู ซึ่งเป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นในแอฟริกา แต่ได้รับการรับรู้และมีผู้ที่ฝึกศาสนานี้บนทั่วโลก ตุ๊กตาวูดูมักถูกใช้เพื่อแสดงสัญลักษณ์และเชื่อความว่าการกระทำกับตุ๊กตาเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อบุคคลหรือสิ่งของที่ตัวตุ๊กตาแทน อาจเป็นการสาปหรือส่งพลังเอนเนอร์ย์ไปยังบุคคลนั้นๆ
ในวูดู ตุ๊กตาไม่ได้เป็นเครื่องมือทางเวทมนตร์เพื่อทำความเสียหายกับบุคคลอื่น แต่อย่างไรก็ตาม มีคนใช้ตุ๊กตาวูดูเพื่อเชื่อว่าเมื่อทำสิ่งต่างๆ กับตุ๊กตา เช่น การเจาะ เจาะเข็ม หรือผูกเชือก จะส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตุ๊กตานั้น หากใครเชื่อในความมืดมนของวิธีนี้จนถึงขั้นที่ต้องการทำให้ความเสียหายแก่ผู้อื่น ก็อาจจะมีผลกระทบทางจิตวิญญาณและจิตใจได้
นับตั้งแต่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของวูดูมีความหลากหลาย สิ่งที่มาของตุ๊กตาวูดูสามารถเชื่อได้ว่าเกิดจากเครื่องมือทางเวทมนตร์ในอดีตที่ใช้สำหรับปฏิบัติพิธีในวูดู แต่สิ่งนี้มีลักษณะที่โปร่งใสและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้เพื่อทำลายหรือสาป และมีหลายแหล่งที่กล่าวถึงแนวคิดและประวัติศาสตร์ของตุ๊กตาวูดูในวูดูในที่แตกต่างกันอย่างน้อยแม้ว่าจะมีความเชื่อที่ร่วมกันเกี่ยวกับพลังของวิธีนี้ในรูปแบบต่างๆ นั่นเอง
9. โคโดกุ (Kodoku)
โคโดกุ’ (Kodoku) หรือ ‘ยาพิษแม่มด’ คือชื่อของศาสตร์มนตร์ดำชนิดหนึ่งที่กระทำขึ้นเพื่อเป็นการสาปแช่งและแก้แค้นศัตรูผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย มนตร์ดำชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนก่อนจะแพร่หลายออกไปและปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้านของประเทศญี่ปุ่น มนตร์ดำโคโดกุขึ้นชื่อในเรื่องของวิธีในการประกอบพิธีกรรมที่สามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เพียงแค่จับสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น สุนัข แมว หนู ด้วง หรือคางคก แต่ถ้าอยากให้ผลลัพธ์ออกมาร้ายแรง อยากให้ศัตรูล้มป่วยเจียนตายล่ะก็ สัตว์ที่จับมาจะต้องเป็นสัตว์มีพิษเท่านั้น เช่น แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ หนอน งู เป็นต้น จากนั้นก็นำสัตว์เหล่านั้นมาขังรวมกันในภาชนะ เช่น โถหรือไห หรืออะไรก็ตามแต่ที่ปิดมิดชิด แล้วก็รอให้พวกมันฆ่ากันเอง! จนในที่สุดก็จะเหลือสัตว์ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่รอดชีวิต! ซึ่งนั่นก็คือสัตว์ตัวที่จะนำมาประกอบพิธีกรรม ‘โคโดกุ’ เพื่อ ‘สาปแช่ง’ ศัตรู
ตามความเชื่อดั้งเดิมเชื่อกันว่า สัตว์ตัวสุดท้ายที่รอดชีวิตจากการต่อสู้กับสัตว์ตัวอื่นมาได้นั้นคือสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุด กล่าวคือ เป็นเพราะมันได้รับการถ่ายทอดพิษจากตัวอื่นต่อๆ กันมา ทำให้มันกลายเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจ เป็น ‘ปีศาจ’ หรือ ‘อสุรกาย’ เลยก็ว่าได้! หลังจากนั้นก็จะนำเจ้าสัตว์ที่รอดชีวิตไปทำพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์หลักของตัวผู้ประกอบพิธีกรรมเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำไปย่างไฟแล้วบดจนเป็นผงผสมกับยาพิษชนิดอื่นๆ หรือไม่ก็นำผงที่ได้ใส่ในอาหาร แล้วนำไปให้ศัตรูกิน เพื่อให้ศัตรูล้มป่วยและเพื่อให้วิญญาณของเจ้าสัตว์ที่รอดชีวิตตัวสุดท้ายนั้นเข้าสิงร่างของศัตรูให้ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสนั่นเอง
นอกจากนั้นวิธีที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ นำเจ้าสัตว์ที่รอดชีวิตตัวนั้นมาปลุกเสกคาถาอาคมต่างๆ แล้วมันก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ คอยทำตามคำสั่งของผู้ปลุกเสกทุกอย่าง และที่สยองไปกว่านั้น มีคนเชื่อว่าหากกินเจ้าสัตว์ที่รอดชีวิตเข้าไปจะทำให้เป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย มีพลังมากมายที่จะไล่แก้แค้นศัตรูจนล่มจมกันไปข้าง!
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ ‘โคโดกุ’ เป็นศาสตร์มืดจึงเชื่อกันว่า มนตร์ดำชนิดนี้พ่ายแพ้ให้กับบทสวดของทุกศาสนา และถึงแม้ว่าพิธีกรรมดังกล่าวจะดูเป็นการทรมานสัตว์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพิธีกรรม ‘โคโดกุ’ ก็ยังคงมีอยู่ และเป็นความเชื่อที่ฝังลึกเข้าไปในวัฒนธรรมจนมิอาจแยกออกจากกันได้นั่นเอง
7. เสานิติง (The Nithing Pole)
6. นัยน์ตาปีศาจ (The Evil Eye)
ความเชื่อเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจในรูปแบบหนึ่งกล่าวว่า ผู้หนึ่งตามปกติแล้วจะมิได้เป็นผู้มีความประสงค์ร้ายต่อผู้ใดอาจจะมีอำนาจในการทำร้ายผู้ใหญ่, เด็ก, สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของได้โดยเพียงแต่จ้องด้วยความอิจฉา คำว่า “Evil” อาจจะเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิดในบริบทนี้ เพราะเป็นคำที่มีนัยยะว่าบุคคลดังกล่าวจงใจที่จะ “แช่ง” ผู้โชคร้าย ความเข้าใจในความคิดเกี่ยวกับ “evil eye” ให้ดีขึ้นอาจจะมาจากคำภาษาอังกฤษสำหรับการจ้องมองด้วยนัยน์ตาปีศาจที่เรียกว่า “overlooking” ที่เป็นนัยยะว่าเป็นการจ้องอย่างจงใจเป็นเวลานานกว่าเหตุต่อสิ่งที่ประสงค์จะจ้องไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของ
ขณะที่วัฒนธรรมบางวัฒนธรรมเชื่อว่านัยน์ตาปีศาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจโดยผู้ที่โชคร้ายพอที่จะถูกแช่งโดยอำนาจที่มาจากการจ้องมอง แต่กระนั้นก็มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นอำนาจที่เกิดขึ้นที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างจงใจแต่ก็เป็นอำนาจที่มาจากความอิจฉา
5. เวทย์ติดเท้า (Foot Track Magic)
“Foot Track Magic” เป็นหนึ่งในรูปแบบของวิธีการในเครื่องมือทางเวทมนตร์หรือศาสตร์ผสมผสาน ที่มีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมและความเชื่อต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเน้นการใช้เท้าหรือรองเท้าของบุคคลในการทำเวทมนตร์ในเชิงมหาเวท โดยเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเท้าหรือรองเท้านั้นๆ
วิธีการ Foot Track Magic อาจแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ในบางกรณี ความเชื่อเกี่ยวกับ Foot Track Magic สามารถมีลักษณะที่เพื่อให้ความคุ้นเคยหรือกำเนิดเช่นการวางทางหรือสานบทหนึ่งๆ บนเส้นทางที่ผู้เป็นเจ้าของเท้าเดินผ่าน เช่น เครื่องหมาย อวัยวะส่วนต่างๆ ของสัตว์ หรือวัตถุอื่นๆ ที่สามารถเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นได้ และวิธีการเหล่านี้อาจถูกนำมาใช้ในการสาปแช่งหรือส่งพลังเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลนั้น ๆ หรือตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม ควรจะระมัดระวังในการใช้วิธีการทางเวทมนตร์หรือศาสตร์ผสมผสาน เนื่องจากวิธีการเช่นนี้อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดและเกิดความไม่พึงประสงค์ต่อผู้ที่เข้าร่วมหรือถูกเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น การใช้วิธีนี้อาจละเมิดค่านิยมและจรรยาบรรณของผู้อื่นได้ ดังนั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะลงมือใช้วิธีการทางเวทมนตร์ใดๆ และควรเคารพความเห็นของผู้อื่นและความเป็นมาของวัฒนธรรมต่างๆ อย่างสุจริตและรอบคอบ
4. อุชิ โนะ โคะคุ ไมริ (Ushi no toki mairi)
“อุชิ โนะ โคะคุไมริ” (丑刻参り) คือชื่อของ “พิธีกรรมสาปแช่ง” ที่เกิดจากความเชื่อโบราณของคนญี่ปุ่น มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (ค.ศ.1603 – 1868) เป็นพิธีที่ใช้สาปส่งคนที่ไม่ชอบ คนที่เกลียด คนที่เป็นศัตรู หรือคนที่มีเคียดแค้นเป็นการส่วนตัว คล้ายการเผาพริกเผาเกลือและเสกตะปูเข้าท้องแบบบ้านเรา แต่พิธีอันน่ากลัวนี้หวังผลให้อีกฝ่ายถึงแก่ความตาย
เป็นการทำพิธีสาปแช่งตามความเชื่อโบราณของชาวญี่ปุ่น โดยนำเอาตุ๊กตาฟางมาตอกเข้ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในศาลเจ้า ทำในช่วงเวลาตีสองเป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน หากทำสำเร็จโดยไม่มีใครเห็นคำสาปแช่งจะบรรลุผล นอกจากศาลเจ้าจิชู ยังมีศาลเจ้าคิฟุเนะอีกแห่งที่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และโดนตอกตะปูทำพิธีสาปแช่งลักษณะนี้เหมือนกัน ทุกวันนี้ถ้าลองไปดูดีๆ ก็จะยังเห็นรอยตะปูอยู่เหมือนเดิม
“อุชิ โนะ โคะคุ ไมริ” (Ushi no koku mairi) เป็นพระคำที่มีความหมายในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ใช้ในเชิงทางศาสนาและเชื่อความว่าเป็นพระคำที่สามารถใช้เสียงพูดโดยไม่ต้องลองดูสิ่งต่าง ๆ ด้วยตา หรือสัมผัสด้วยมือ
พระคำ “อุชิ โนะ โคะคุ ไมริ” แต่ละคำมีความหมายดังนี้:
1. อุชิ (Ushi) – อุชิ หมายถึง “วัว”
2. โนะ (No) – โนะ เป็นคำล่วงหน้าที่ใช้เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงสิ่งที่อยู่ในเวลาที่กำหนด
3. โคะคุ (Kokukun) – โคะคุ หมายถึง “เทวดา” หรือ “พระเจ้า”
4. ไมริ (Mairi) – ไมริ หมายถึง “ไป”
ดังนั้น คำว่า “อุชิ โนะ โคะคุ ไมริ” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ไปเจาะบูชาแท่งไม้ที่เป็นรูปวัวที่เป็นเทวดา” หรือในประเทศไทยเรียกว่า “ไปตัดแท่งไม้เป็นรูปวัวที่เป็นเทวดา” ซึ่งเป็นพิธีสร้างโชคลาภและไปบูชาเจ้าหน้าที่ทางศาสนาในวัดหรือศาลเจ้าในญี่ปุ่น แต่บางครั้งก็มีความหมายเชื่อความว่าเป็นพระคำที่จะสามารถกระทำพิธีใด ๆ ได้ด้วยการพูดโดยไม่ต้องลองดูด้วยตาและสัมผัสด้วยมือ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีในอนาคต
3. ผงกูดเฟอร์ (Goofer Dust)
ผงกูดเฟอร์ (Goofer Dust) เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือทางเวทมนตร์หรือศาสตร์ผสมผสานที่มีความสำคัญในวิวัฒนาการของความเชื่อและเครื่องหมายทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสาปแช่งหรือส่งพลังให้ผลกระทบต่อบุคคลหรือเหตุการณ์ในทางลบ
ผงกูดเฟอร์ทำจากสารผสมผสานต่าง ๆ ที่มักประกอบด้วยสมุนไพร วัตถุสิ่งของ หรืออาจมีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เราต้องการกระทำบางอย่างในเชิงลบ ความเชื่อเกี่ยวกับผงกูดเฟอร์นั้นเกี่ยวข้องกับวิธีเวทมนตร์หรือแบบอื่น ๆ ที่มีความแตกต่างตามท้องถิ่นและความเชื่อของแต่ละกลุ่มคน
อาจมีการใช้ผงกูดเฟอร์เพื่อสาปแช่งหรือส่งความอันตรายแก่บุคคลหรือสิ่งของ อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีเช่นนี้มักมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดและเกิดความไม่พึงประสงค์ต่อผู้ที่เข้าร่วมหรือถูกเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น การใช้ผงกูดเฟอร์หรือวิธีการทางเวทมนตร์ที่ส่งผลกระทบทางลบต่อผู้อื่นอาจละเมิดค่านิยมและจรรยาบรรณของผู้อื่นได้ ดังนั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะลงมือใช้วิธีการทางเวทมนตร์ใดๆ และควรเคารพความเห็นของผู้อื่นและความเป็นมาของวัฒนธรรมต่างๆ อย่างสุจริตและรอบคอบ
2. เสกตะปูเข้าท้อง (Spell out tghe nails)
“เสกตะปูเข้าท้อง” หรือ “Spell out the nails” เป็นกระบวนการทางเวทมนตร์หรือศาสตร์ผสมผสานที่มักถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องหรือสาปแช่งบุคคลหรือสิ่งของ โดยการใช้ตะปูหรือเข็มหรือวัตถุอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สำคัญในร่างกายของผู้เป็นเป้าหมาย มักมีความเชื่อว่าการสาปแช่งหรือป้องกันสามารถทำได้โดยการเขียนคำสมัครใจหรือเวทมนตร์บางประเภทลงบนตะปูหรือวัตถุ และทำให้ตะปูหรือวัตถุนั้นเป็นอารามของพลังเวทมนตร์
อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีการทางเวทมนตร์หรือการสาปแช่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากการกระทำเช่นนี้อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดและเกิดความไม่พึงประสงค์ต่อผู้อื่น และควรพิจารณาด้วยความรับผิดชอบและสำคัญที่จะใช้พลังนั้นอย่างสร้างสรรค์และสร้างประโยชน์ที่ดีในชีวิตของตนและผู้อื่น และควรศึกษาและเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะใช้วิธีการทางเวทมนตร์ใดๆ ในชีวิตประจำวันและการมีสัมพันธ์กับผู้อื่น
1. คูร์เดตจา (Kurdaitcha)
คูร์เดตจา (Kurdaitcha) เป็นคำที่มีบางความหมายในวัฒนธรรมของชนเผ่าอินเดียน ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลีย คำนี้มักมีความหมายเกี่ยวกับบุคคลที่มีบทบาททางการจิตวิทยา รวมถึงการใช้พลังจิตวิทยาและเวทมนตร์เพื่อสร้างความผูกพันหรือความอาศัยในความเชื่อของชนเผ่าในพื้นที่นั้น
ในความเชื่อของชนเผ่าอินเดียนบางกลุ่ม คูร์เดตจา (Kurdaitcha) เป็นบุคคลที่มีความสำคัญในการบังคับให้บุคคลอื่นปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบของชนเผ่า คูร์เดตจามักถูกเสกสาปเพื่อกำหนดและทำให้ผู้กระทำความผิดโดยตรงหรือทางอ้อมโดยอาศัยพลังจิตวิทยาหรือเวทมนตร์ทางจิตวิทยา ผู้ถูกสาปแช่งโดยคูร์เดตจาจะเป็นผู้มีความชะตาชีวิตและความเสียหายต่อจิตวิญญาณ อาจเสียชีวิตหรือมีความเจ็บป่วยอย่างรุนแรงก็เป็นได้ และผู้อื่นอาจเชื่อว่าเกิดจากการสาปแช่งจากคูร์เดตจา
พวกเขาคือเพชฌฆาตแบบพิเศษของชาวอะบอริจิน รับหน้าที่ล้างแค้นให้กับคนที่ตายไป ซึ่งโดยมากแล้วพวกเขาจะทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่ชื่อ Railtchawa (คล้ายๆ หมอยา) อีกที
การทำงานของพวกเขานั้นคือ Railtchawa จะตามหาตัวคนร้ายที่สังหารผู้ตายด้วยการพูดคุยกับวิญญาณ ก่อนที่ Kurdaitcha จะจัดการสังหารฆาตกรด้วยการใช้เวทมนตร์ หรือวิธีการอื่นๆ ต่อไปอีกที
คำนี้มีความสำคัญในมุมมองทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชนเผ่าอินเดียน และส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพลังจิตวิทยาและวิธีการทางจิตวิทยาในการควบคุมพฤติกรรมและความรู้สึกของบุคคล อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการใช้คำนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดพลาดหรือการนำมาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม