วงการศิลปะทั่วโลกถือกันว่า ภาพวาด “โมนาลิซา” คือผลงานชิ้นเอกอีกหนึ่งชิ้นของ “เลโอนาร์โด ดาวินชี” ภาพวาดในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) อายุหลัก 500 ปี แต่แค่ช่วงเวลาที่เขาวาดนั้นก็ไม่มีข้อมูลหลักฐานที่แน่ชัดพอจะเจาะจงได้ว่า เขาเริ่มวาดขึ้นเมื่อใด แต่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นช่วงศตวรรษที่ 16 อาจเป็นระหว่าง 1503-04 ในช่วงที่เขามาใช้ชีวิตในมิลาน หรืออาจมาเริ่มวาดต่อหลัง 1508 กระทั่งวาดสำเร็จในปี 1519
โมนาลิซา คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซ็นติเมตร กว้าง 53 เซ็นติเมตร เธอถือกำเนิดขึ้นในคริสต์วรรษที่ 16 ระหว่างปี ค.ศ.1503-1507 (พ.ศ.2046-2050) ด้วยฝีแปรงของเลโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินเอกของโลก เขาใช้เวลาถึง 4 ปี จึงรังสรรค์เธอได้สำเร็จ
เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลกภาพหนึ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะภาพของ “สุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา” ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ที่มาของชื่อ
จอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปินและนักชีวประวัติชาวอิตาลี ตั้งชื่อ “โมนาลิซา” ขึ้นหลังจาก ดาวินชี ได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจไหมผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรันเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)
ชื่อ “โมนาลิซ่า” (Mona Lisa) มาจากคำในภาษาอิตาลี โดย “โมนา” (Mona) เป็นคำย่อของ “มาดอนนา” (Madonna) ซึ่งหมายถึง “คุณผู้หญิง” หรือ “มาดาม” (Madam) ในภาษาอังกฤษ และ “ลิซ่า” (Lisa) คือชื่อของนางลีซา เกรียนดีนี (Lisa Gherardini) ซึ่งเป็นผู้หญิงชาวอิตาลีที่เป็นภาพรวมในภาพเขียนนี้ ชื่อ “โมนาลิซ่า” จึงหมายถึง “คุณผู้หญิงลีซา” หรือ “มาดามลีซา” ในคำอื่น ๆ นอกจากนี้ “โมนาลิซ่า” ยังเป็นคำนามที่ใช้แทนภาพเขียนนี้โดยทั่วไป และชื่อนี้ก็เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในเรื่องศิลปะของโลก ทำให้เกิดความรู้สึกว่าชื่อ “โมนาลิซ่า” เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ในการสื่อสารความหมายของงานศิลปะนี้ให้กับคนทั่วโลก
ประวัติ
ดา วินชี ใช้เวลาวาดภาพนี้ 4 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1503–1507
ในปี ค.ศ. 1516 ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซา ในราคา 4,000 เอกูว์ (écu)
ในปี ค.ศ. 1519 ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 67 ปี
ตอนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของฟรันเชสโก เมลซี (Francesco Melzi) ผู้ติดตามของเขา และเมื่อเมลซีเสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจาย
และต่อมามีการนำภาพโมนาลิซาไปเก็บไว้ที่พระราชวังฟงแตนโบลและที่พระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟัวร์ เหมือนเดิม
ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ระหว่างปี ค.ศ. 1870–1871 มีการนำภาพออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ภาพโมนาลิซาถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี พบในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ปัจจุบัน ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ อันเป็นเครื่องหมายสากลว่า โมนาลิซา จะไม่มีวันที่จะได้เคลื่อนย้ายไปแสดงที่ไหนอีกเป็นเด็ดขาด
ทฤษฎีสมทบ
กล่าวกันว่าภาพวาดนี้ ดาวินชี ตั้งใจจะวาดภาพของตนเองเมื่อเป็นหญิงเพราะลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ จึงเกิดข้อสันนิษฐานนี้ขึ้น และภาพวาดชิ้นนี้เมื่อส่องกับกระจกเงา จะพบว่ามุมการมองภาพรู้สึกเป็นธรรมชาติไม่แตกต่างจากการมองแบบปกติ เหมือนที่ ดาวินชี กล่าวไว้ว่า “ภาพเขียนที่จิตรกรจะคิดว่าสวยงามในทุก ๆ ด้านและทุก ๆ มุมมอง ต้องพิจารณาภาพในกระจกเงา” และจากการฉายรังสีที่ภาพวาด ทำให้พบว่าภาพเขียนนี้ซ่อนเจตนาที่แท้จริงหลายอย่าง และยังเคยถูกเขียนทับอีกด้วย
ภาพวาดโมนาลิซ่า บางทฤษฎีเชื่อว่าเป็นภาพของเลโอนาร์โดเองเป็นภาพที่เขานำติดตัวไปด้วยทุกที่จนเสียชีวิต หากมีผู้ว่าจ้างจริงภาพนี้คงตกอยู่ในมือของผู้ว่าจ้างไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริมว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนาลิซา คือลายเซ็นลับของ ดาวินซีเอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า “ขดเชือก” จะตรงกับคำว่า “วินชีเร่” (Vincire) บางทีเธอผู้นี้อาจไม่มีตัวตนแต่เกิดจากซอกหลืบอันลึกลับในจิตใจของเขาเอง
8 ความลับที่ซ่อนอยู่ในภาพ Mona Lisa
1. หัวม้าที่ซ่อนอยู่
ไม่เพียงแค่รอยยิ้มของภาพเท่านั้นที่เป็นดั่งภาพมายา แต่ทั่วทั้งภาพ Mona Lisa นั้นมีปริศนาซ่อนอยู่มากมายทางด้านหลังของสาวในภาพ หนึ่งในนั้นคือหัวม้าที่ซ่อนอยู่เมื่อกลับภาพไปด้านข้างซึ่งคุณไม่อาจทำได้เมื่อเข้าไปชมที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เราจะพบกับสัตว์ต่างๆมากมายซ่อนอยู่ภาพอีกด้วยถ้ามองดูอย่างตั้งใจเช่นหน้าของสิงโตเมื่อมองจากด้านข้าง หัวของลิงและควายที่พื้นหลัง สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ภาพของ Mona Lisa ดูลึกลับและทำให้ผู้คนบ้าคลั่งไปกับทฤษฎีต่างๆมากขึ้นไปอีกจนทำให้ผู้ชมที่เข้าไปขมภาพนี้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แน่นขนัดทุกวัน
2. รหัสที่ซ่อนอยู่
การค้นพบที่เยี่ยมยอดนี้ทำได้ง่ายๆผ่านแว่นขยาย Silvano Vincetiประธานคณะตรวจสอบบอกว่าที่ตาขวานั้นมีอักษร LV ซึ่งอาจจะหมายถึงชื่อย่อของ Leonardo da Vinci เอง ในขณะที่สัญลักษณ์ด้านขวาปรากฎคำที่อ่านได้ยากกว่านั้นคือตัวอักษร CE หรืออาจเป็นอักษร B ไม่เฉพาะแค่ที่ดววงดวงตาเท่านั้นบริเวณอื่นๆของภาพก็พบว่ามีสัญลักษณ์อื่นๆอีกนั้นคือบริเวณส่วนโค้งของสะพานที่ปรากฎเป็นตัว Lและเลข 2 เรายังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร และมันเป็นปริศนาที่ซ่อนเป็นอย่างดีมาเป็นเวลาห้าร้อยปีแล้ว
3. ยิ้ม (หรือไม่)
เป็นที่ถกเถียงกันเป็นเวลายาวนานในเรื่องของการที่ Mona Lisa กำลังยิ้มหรือไม่กันแน่ หลายคนเชื่อว่า ดา วินชีน่าจะพูดเรื่องขำขันระหว่างการวาดรูปเพราะเธอนั้นอาจเป็นนางแบบที่แย่ก็เป็นได้ ศาสดาจารย์จากฮาวาร์ดท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่าการยิ้มมุมปากนั้นเป็นความถี่ต่ำซึ่งมองเห็นได้ในระยะไกลซึ่งมันจะโดดเด่นมากขึ้นเมื่อคุณมองเธอที่ดวงตามากกว่าที่ปาก การวิเคราะห์ในปี 2005 ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนได้เผยว่ารูปรอยยิ้มของเธอนั้น 83% มีความสุข 9% เบื่อหน่าย 6% กลัว 2%โกรธ น้อยกว่า 1% เฉยเมย และ 0%ตื่นตกใจ
4. อัตราส่วนทองคำ
อัตราส่วนทองคำเป็นสิ่งที่ใช้งานในวงการคณิตศาสตร์และศิลปะ ซึ่งปรากฎในภาพ Mona Lisa ด้วยซึ่ง ดา วินชีชอบใช้งานอย่างมากในภาพส่วนใหญ่ของเขา ซึ่งมันสร้างความถึงพอใจแก่สายตัวด้วยการสร้างรูปทรงที่สวยงามและสมดุล
ซึ่งนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงไหลงใหลในภาพนี้มากนัก ใบหน้าของ Mona Lisa นั้นลงตัวได้อย่างสมบูรณ์กับอัตราส่วนทองคำเหมือนเช่นส่วนอื่นๆ ในภาพ ดังนั้นเหตุผลที่ผู้คนมากมายจ้องมองภาพวาดนี้แบบไม่วางตาก็คือคณิตศาสตร์นั้นเอง
5.คิ้วและขนตา
เป็นข้อถกเถียงบ่อยครั้งเรื่องสถานะของ Mona Lisa ว่าอาจจะเป็นสาวหากินมากกว่าหญิงสูงศักดิ์ การที่แบบในรูปนั้นไม่มีทั้งคิ้วและขนตาก็ลบล้างข้อคิดในเรื่องนี้ไป แต่วิศวกรชาวฝรั่งเศสได้วิเคราะห์ไว้ว่าในภาพนี้อาจจะมีคิ้วและขนตาอยู่ในแบบฉบับดั้งเดิมก็เป็นได้ โดยเขาได้ค้นพบการลงสีหนึ่งครั้งของเส้นผมด้านบนตาซ้าย โดยส่วนของคิ้วอาจจางหายไประหว่างการทำความสะอาดภาพโดยไม่ตั้งใจ
6. คอเลสเตอรอลสูง
นักวิทยาศาสตร์คนนึงได้บอกสาเหตุของรอยยิ้มที่ดูสวยงามของ Mona Lisa ว่าน่าจะเป็นเพราะระดับคอเลสเตอรอลที่สูงอย่างน่าเป็นห่วง ย้อนไปในยุคนั้นการที่รูปร่วงอวบหมายถึงการมีสุขภาพดีและมีความแข็งแรง Dr.Vito Franco ได้ระบุว่าใบหน้าของ Mona Lisa นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามีอาการคอเลสเตอรอลสูงที่เกิดจากการมีกรดไขมันใต้ผิวหนัง โดยสาเหตุน่าจะมาจากการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาจจะกำลังทานอะไรอยู่จนแก้มป่องระหว่างที่นั่งเป็นแบบหลายชั่วโมงก็เป็นได้
7. หลักฐานที่บ่งชี้ว่าเธอไม่ใช่โสเภณี
หลักฐานบางอย่างบ่งบอกว่าจากการสแกนอินฟราเรดมากมาย จนมาลงตัวที่เรื่องของผมดก ในอิตาลีศตวรรษที่16 นั้น บุคคลที่มีสั้น-ไม่มีคิ้ว,ขนตาหรือหนวดก็คือโสเภณีนั้นเอง ในยุคกลางนั้นผู้หญิงมักทำงานในอาชีพที่เก่าแก่อย่างการเก็บแก้วเบียร์ซึ่งการมีผมสั้นจะทำให้ดึงดูดความสนใจของชายได้มากกว่าอีก หลักฐานที่สนับสนุนเรื่องนี้นั้นก็คือทรงผมของเธอที่นิยมในหญิงที่ยังไม่แต่งงานและโสเภณีในเวลานั้น แต่การสแกนบ่งบอกว่าเธอไมได้แค่ปล่อยผมลงเท่านั้น แต่เหมือนยังมีการทำมวยผมด้วยการปักปิ่นด้วยอีกซึ่งดูไม่เหมือนกับโสเภณีเท่าไหร่นัก
8. การตั้งครรภ์
ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดของตัวตน Mona Lisa นั้นคือเธอเป็นภรรยาของสุภาพบุรุษชาวฟลอเรนซ์ โดยมีชื่อว่า Lisa del Giocondo
ในภาพที่มือนั้นไขว้กันที่หน้าท้อง เล็กน้อย ทำให้สังเกตได้ว่าเธออาจะกำลังตั้งครรภ์ และตามประวัติศาสตร์ del Giocondo ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สองจริงๆ เมื่อภาพนี้ทำสำเร็จ นี้ไม่ใช่หนึ่งในความลับที่สุดโต่งที่พบ อย่างไรก็ตามกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาได้ใช้งานเลเซอร์ และอินฟราเรด สแกนเพื่อสร้างภาพ 3 มิติของภาพวาดนี้ขึ้นมา ซึ่งได้ปรากฎหลักฐานของรูปแบบของผ้าบนไหล่ของ Mona Lisa ว่าเป็นรูปแบบที่ใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์ที่กำลังจะคลอดในยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาในอิตาลี