หากคุณเป็นคนชอบเรื่องลี้ลับ เรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องแปลกๆ เหมือนเรื่อง วันศุกร์ 13 ที่ว่ากันว่าเป็นวันแห่งความโชคร้ายสุดๆ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความเชื่อของผู้คนทั่วโลก มีการรายงานว่าในสหรัฐอเมริกามีคนเชื่อเรื่องวันศุกร์ 13 ผู้คนกว่า 21 ล้านคนจะไม่ยอมลุกทำอะไรเลยในวันนี้ เพราะกลัวว่าจะเกิดความโชคร้าย
หากคุณสนใจเรื่องราวความเชื่อแบบนี้ วันนี้ทางเราจึงได้นำ 13 ความเชื่อสุดแปลกทั่วโลก มาให้อ่านกัน
1.ไม่ควรมีแขก 13 คนบนโต๊ะอาหาร – ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสเชื่อว่าการนั่งรับประทานอาหาร 13 คนในโต๊ะจะนำมาถึงความโชคร้าย หลายคนเชื่อว่าหากใครลุกออกจากโต๊ะเป็นคนแรกจะต้องเสียชีวิตในเร็วๆนี้
ซึ่งความเชื่อนี้มีที่มาจาก The last supper ของพระเยซู ที่เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่มีคน 13 คนร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันรุ่งขึ้น ร้านอาหารบางแห่งจะแก้เคล็ดด้วยการนำไข่วางไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นตัวแทนของแขกคนที่ 14
2. ส่องกระจกเมื่อได้ยินเสียงระฆัง – เนเธอแลนด์
ที่ประเทศเนเธอแลนด์จะมีเสียงระฆังจากโบสถ์เป็นเรื่องปกติ โดยเชื่อกันว่าหากคุณส่องกระจกขณะที่เสียงระฆังดัง แล้วเห็นใบหน้าของตัวคุณเองเป็นแบบไหน ใบหน้านั้นจะอยู่กับคุณตลอดไป
3. ดวงตาปีศาจ – กรีซ
เวลามีใครป่วยหรือไม่สบายคนทั่วโลกมักจะหายากิน แต่บางคนที่ยังมีความเชื่อเรื่องดวงตาปีศาจอยู่ เขาจะเอาน้ำมันมะกอกจะลอยในน้ำ โดยเอาน้ำมันหยดหนึ่งใส่ลงไปในแก้วน้ำโดยเฉพาะน้ำมนต์ ถ้าหยดน้ำมันลอยก็แปลว่าไม่ได้ถูกมนต์จากนัยน์ตาปีศาจ แต่ถ้าน้ำมันไม่ลอยขึ้นมาก็แปลว่าต้องมนต์
อีกวิธีหนึ่งเอาน้ำมันสองหยดใส่ลงไปในแก้วน้ำแยกกัน ถ้าน้ำมันทั้งสองหยดยังคงไม่มารวมกันก็แปลว่าน้ำมันนั้นไม่ต้องมนต์ แต่ถ้ามารวมกันเป็นหยดเดียวกันก็แปลว่าต้องมนต์ การทดลองนี้มักจะทำกับผู้สูงอายุที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้มีอำนาจในการรักษา
คนส่วนมาทำวิธีพวกนี้เพื่อที่จะหลบสายตาจากดวงตาปีศาจ
4. เหยียบขี้หมาข้างซ้ายจะโชคดี – ฝรั่งเศส
เผยความเชื่อสุดหยี้ เกี่ยวกับเรื่องขี้ๆ ในขณะที่หลายๆคนไม่รู้สึกแฮปปี้นักกับการเหยียบขี้หมา แต่ชาวฝรั่งเศสดันเชื่อกันว่า การเหยียบขี้หมาเป็นเรื่องที่ดี แต่ใช่ว่าจะเหยียบกันได้มั่วซั่ว เพราะเขาเชื่อว่า ต้องเป็นเท้าข้างซ้ายเท่านั้น !! และต้องเป็นการเหยียบแบบไม่ตั้งใจ จะส่งผลให้โชคดีไปตลอดทั้งวัน ไม่ต่างจากความเชื่อเรื่องนกขี้ใส่หัวของคนไทย แต่หากวันใดเผลอไปใช้เท้าขวาเหยียบขี้หมาเข้าล่ะก็ จะดีจะกลายเป็นร้ายทันทีเลยล่ะ
5. กินของเหนียวๆจะทำให้สอบติด – เกาหลีใต้
วัฒนธรรมเด็กมัธยมเกาหลี น่าจะเคยได้ยินความเชื่อนี้มาแล้ว! สำหรับประเทศนี้ จะมีความเชื่อที่เกี่ยวกับการสอบเข้า การเรียนการสอนมากมาย เพราะเกาหลีค่อนข้างเน้นเรื่องการศึกษากับเยาวชน สอบเข้าได้ที่ดีๆ จะเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่และวงศ์ตระกูล อีกทั้งการแข่งขันก็สูง นอกจากติวอย่างหนักแล้ว จึงต้องพึ่งเรื่องเหนือธรรมชาติด้วย
โดยก่อนเข้าสอบเด็กๆเกาหลีจะกินพวกของเหนียวๆกัน เช่น ตังเม คาราเมล yeot ( ขนมทำจากข้าว ) จะช่วยให้ความรู้ติดสมอง ทำข้อสอบได้คะแนนเต็ม เพื่อจะได้เหมือนกับว่ามีโชคดีติดตัว
ในทางตรงกันข้าม คนเกาหลีจะห้ามไม่ให้กิน “อาหารลื่นๆ” ก่อนสอบ เช่น ซุปสาหร่าย เพราะจะทำให้ความรู้ลื่นไหลออกไปจากสมอง ทำให้คะแนนตก สอบไม่ติดซะอย่างนั้นค่ะ ดังนั้นถ้าคุยๆ กับเด็กมัธยมเกาหลีอยู่ อย่าอวยพรให้เขากินซุปก่อนสอบนะ อาจโดนว่าเอาได้
6. ควรแต่งงานในเดือนที่มีตัว R – โปแลนด์
ความเชื่อที่ว่าคนโปแลนด์ควรแต่งงานในเดือนที่มีตัวอักษร “R” เกิดขึ้นจากความเชื่อทางวัฒนธรรมและความเคารพต่อประเพณีในประเทศโปแลนด์ ความเชื่อนี้มีชื่อว่า “รูช่า” (Rusalka) ซึ่งเป็นวิญญาณน้ำหรือนางน้ำที่มีตำนานและเรื่องราวในวัฒนธรรมโปแลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกเชื่อว่าจะกลายเป็นมนุษย์ในช่วงฤดูร้อน และนิยมมากในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ซึ่งก็เป็นช่วงฤดูร้อนในโปแลนด์
สำหรับเรื่องแต่งงานในเดือนที่มีตัวอักษร “R” นั้น มีความเชื่อว่าการแต่งงานในช่วงที่รูช่ากลายเป็นมนุษย์ (เดือนร้อน) จะมีโชคดีและมีความสุข เพราะรูช่าถือเป็นวิญญาณที่มีความสามารถในการเกิดความรักและความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้น การแต่งงานในช่วงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่นำโชคดีและความสุขมาให้
เป็นทางประเทศประเทศและประเพณีที่ส่งผลให้ความเชื่อนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและแบบฝึกหัดในประเทศโปแลนด์ แม้ว่าความเชื่อเหล่านี้อาจจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รับรอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและประเพณีที่ช่วยเสริมสร้างสัมพันธภาพและความเชื่อมั่นในชุมชนและครอบครัวในประเทศโปแลนด์
ชื่อเดือนตามภาษาโปแลนด์ ซึ่งได้แก่ marzec (มีนาคม), czerwiec (มิถุนายน), sierpień (สิงหาคม), wrzesień (กันยายน), październik (ตุลาคม) และ grudzień (ธันวาคม)
7. ผีเสื้อขาว – บราซิล
ในบราซิล เชื่อกันว่าการได้เห็น ผีเสื้อ สีขาวจะทำให้คุณโชคดีตลอดทั้งปี แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นผีเสื้อตัวแรกที่เจอด้วยนะ
ในบราซิล ผีเสื้อสีขาวถูกเชื่อว่าเป็นสัญญานของโชคดีและความสำเร็จ เชื่อกันว่าเมื่อคุณเห็นผีเสื้อสีขาวในเวลาต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงกลางวันหรือใกล้กับค่ำคืน จะเป็นบันทึกเครื่องยิ่งให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จและโชคดีในช่วงเวลาที่จะถึง การเห็นผีเสื้อสีขาวถือเป็นเรื่องที่ฉลาดและดีนักในทางวิถีชีวิตของผู้คนในบราซิล
ความเชื่อนี้ส่วนใหญ่มาจากการเชื่อว่าผีเสื้อเป็นสัญญานของความตายและความเงามืด แต่เมื่อผีเสื้อเปลี่ยนสีเป็นสีขาวกลายเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และโชคดี นอกจากนี้ ความเชื่อนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับความเคารพและความนับถือต่อธรรมชาติ และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการมองและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ
ความเชื่อเรื่องผีเสื้อสีขาวส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสร้างความหวังและความเชื่อในความรู้สึกบวก แม้ว่าไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รับรองความเชื่อนี้ แต่ก็มีความสำคัญและอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและทัศนคติของคนในบราซิลอย่างแน่นหนา
8. ถ่มน้ำลายใส่เพื่ออวยพรให้โชคดี – เยอรมันนี
โรงละครถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องของความเชื่อ ชาวอังกฤษและอเมริกันมีความเชื่อว่า เราควรอวยพรเพื่อนด้วยการพูดว่า ‘Break a leg.’ ชาวเยอรมันเองก็มีค่ะ แต่พวกเขาจะใช้วิธีถ่มน้ำลายใส่ไหล่ซ้ายของนักแสดง และกล่าวว่า ‘Toi Toi Toi.’ แต่อย่าลืมนะคะว่าต้องทำตอนที่พวกเขาใส่ชุดเตรียมพร้อมขึ้นแสดงแล้ว ไม่อย่างนั้นจะไม่ศักดิ์สิทธิ์
9. หากเจอแมงมุมในตอนกลางคืนจะโชคร้าย – ญี่ปุ่น
ความเชื่อในคนญี่ปุ่นที่ว่าการเจอแมงมุมในตอนกลางคืนจะเป็นโชคร้ายเป็นต้นเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางวัฒนธรรมและความเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติของคนญี่ปุ่น สัตว์แมงมุมถือเป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวและศัตรู จึงทำให้คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการพบแมงมุมในเวลาที่ควรจะนอนหลับหรือเจริญธรรมชาติของมื้อค่ำนั้น อาจจะมีความเป็นเครื่องแสดงความตื่นเต้นหรือรู้สึกว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินหรือความเสี่ยงในอนาคต
10. ปาแจกันให้แตกในงานแต่งงาน – อิตาลี
เชื่อว่าจะรักกันกี่ปีให้ชิ้นส่วนแจกันที่แตกทำนายกัน หรือ ใช้แก้วแทนก็ได้ โดยโยนแจกันหรือแก้วลงแล้วรอนับเศษหลังจากหล่นกระแทกพื้น หมายความว่าเศษแจกันหรือแก้วที่แตกกระจายบนพื้นจะบ่งบอกถึงจำนวนปีที่บ่าวสาวครองรักกัน
การปาแจกันให้แตกในงานแต่งงานเป็นประเพณีที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี และมีความเชื่อว่าการทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งโชคลาภและความโปรดปรานให้กับคู่สามีภรรยาที่แต่งงานใหม่ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเพณีและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานแบบอิตาเลียน ดังนั้น เรามาดูกันว่าทำไมคนอิตาลีจึงเลือกที่จะปาแจกันให้แตกในงานแต่งงานนี้
1. **สัญญาณของความเจริญรุ่งเรือง**: ความเชื่อว่าแจกันที่แตกแล้วจะนำมาซึ่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองให้กับคู่สามีภรรยาที่แต่งงานใหม่ เป็นการแสดงถึงความสุขและความร่ำรวยที่จะมาถึงในชีวิตของพวกเขาในอนาคต
2. **การปลดปล่อยความรักและความเชื่อในอนาคต**: การปาแจกันให้แตกสัญลักษณ์ถึงการปลดปล่อยความรักและความเชื่อในอนาคตของคู่สามีภรรยาที่แต่งงานใหม่ โดยที่จะมีความหวังและความมั่นใจในการเดินทางชั่วต่อไปพร้อมกัน
3. **สัญญาณของความรักที่แข็งแกร่ง**: การที่แจกันแตกเป็นสัญญาณของความรักที่แข็งแกร่งและทนทานของคู่สามีภรรยาที่แต่งงานใหม่ ความแข็งแกร่งและทนทานเป็นสิ่งที่นับถือในความสัมพันธ์ของพวกเขา
4. **การเคารพและความสุขของผู้ร่วมงานและแขกที่มาร่วมงานแต่งงาน**: ประเพณีการปาแจกันให้แตกเป็นโอกาสสำหรับผู้ร่วมงานและแขกที่มาร่วมงานแต่งงานที่จะร่วมกันสร้างความสุขและความสนุกโดยการพยายามจับแจกันที่ได้ลงมา
ในที่สุด การปาแจกันให้แตกในงานแต่งงานของอิตาลีเป็นการแสดงความเคารพและความรักต่อความเชื่อที่มีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมและประเพณีของคนอิตาลี แม้ว่าอาจจะไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่รับรองความเชื่อนี้ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและความหมายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความรักในงานแต่งงานในวัฒนธรรมอิตาลี
11. ห้ามเดินถอยหลัง – โปรตุเกส
ชาวโปรตุเกสเชื่อกันกว่าไม่ควรเดินถอยหลัง เพราะจะเป็นการเชื่อมต่อกับปีศาจ และจะทำให้มันติดตามคุณไป
ความเชื่อเรื่องห้ามเดินถอยหลัง (ไม่ว่าจะเป็นการหันหน้าหลังจากภาคหน้า หรือเดินถอยหลัง) เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางวัฒนธรรมในประเทศโปรตุเกส ซึ่งเรียกว่า “Mau Olhado” หรือ “Olho Gordo” ซึ่งแปลว่า “สายตาที่แวววาว” หรือ “สายตาที่มีความริษยา” ความเชื่อนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อที่ว่าสายตาของบุคคลอื่นอาจมีพลังอันมีความกระทบต่อคนอื่น ๆ โดยเฉพาะถ้ามีความริษยาหรือความโสดแสดงออกมา
ความเชื่อนี้มีความเกี่ยวข้องกับความคิดเสริมทางวิญญาณ ความเคารพต่อสิ่งมีชีวิต และความรู้สึกในความลึกลับของสายตาและพลังในสิ่งต่าง ๆ ในโลก สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเพณีของประชากรโปรตุเกส
การเล่าเรื่องราวและความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่สร้างเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน แม้ว่าความเชื่อเหล่านี้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รับรอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและสืบทอดวัฒนธรรมที่นำมาตั้งแต่อดีต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมคนรวมกันและสร้างความสัมพันธ์ที่มีความเชื่อมั่นในความเป็นไปได้และความเชื่อของผู้คนในชุมชนและสังคมนั้น
12. ห้ามดื่มอวยพรด้วยน้ำเปล่า – เยอรมันนี
ทุกงานเลี้ยงจะมีการชนแก้ว ดื่มอวยพรซึ่งกันและกัน ก่อนจะเปล่งเสียงร้อง ‘เชียร์!’ หรือ ‘โพรสท์!’ ออกมา แต่คนเยอรมันจะไม่ดื่มหรือชนแก้วกันด้วยน้ำเปล่า เพราะเขาถือว่าเป็นการสาปแช่งให้ผู้ที่ชนแก้วกับเราตาย แล้วตอนชนแก้วกันก็ต้องมองตากันด้วย ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสาปแช่งอีกฝ่ายได้เหมือนกัน เนื่องจากพวกเขาเชื่อมาแต่โบราณว่า การไม่มองหน้ากันเวลาชนแก้วแปลว่าอีกฝ่ายแอบใส่ยาพิษลงไปในแก้วของเรา
13. ห้ามวางกระเป๋าสตางค์ไว้บนพื้น – บราซิล
ความเชื่อเรื่องการวางกระเป๋าสตางค์ไว้บนพื้นเพื่อไม่ให้เกิดโชคร้ายเรื่องการเงิน
เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางวัฒนธรรมและความเคารพต่อเงินและการเงินในประเทศบราซิล ความเชื่อนี้มีชื่อว่า “เรดีร์ มานีโกบา” (Rede Mãos Abençoadas) ซึ่งแปลว่า “มือที่ได้รับพระคุณ” หรือ “มือที่ถูกอวยพร”
ความเชื่อนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อที่ว่าการวางเงินสตางค์บนพื้นหรือพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเขตพระนามหรือพื้นที่ที่ประดิษฐานมีความสัมพันธ์กับการทำธุรกรรมเงิน อาจทำให้ความโชคร้ายเรื่องการเงินมาถึง หรือเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินหรือทรัพย์สิน ดังนั้น การวางกระเป๋าสตางค์หรือเงินสดบนพื้นจึงถือว่าเป็นการปฏิเสธโชคร้ายเรื่องการเงินที่อาจเกิดขึ้น
การเชื่อนี้อาจเกิดขึ้นจากความเคารพและความรู้สึกต่อเงินสดและการเงิน แม้ว่าความเชื่อเหล่านี้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รับรอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและประเพณีที่ช่วยสร้างความเสริมสร้างความเชื่อมั่นในวัฒนธรรมและชุมชนของคนบราซิล การเชื่อนี้ส่วนใหญ่จะมีบทบาทในการสร้างความร่วมมือและความเชื่อมั่นในความเป็นไปได้และความโอกาสทางการเงินในอนาคตของบุคคลและชุมชน